วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
หน่วยที่ 10
บทที่ 10
เรื่อง กฏหมายและความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ต
ในโลกยุคปัจจุบัน คือ สังคมของสารสนเทศซึ่งสามารถสื่อสารข้อมูลข่าวสารได้อย่างอิสระโดยมีระบบเครื่อข่ายอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อกลางในการสื่อสาร ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีมีการพัฒนาแบบไม่หยุดยั้ง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีกฏหมายมารองรับในการดำเนินงานด้านธุรกรรมต่าง ๆ เพื่อความถูกต้อง เช่น
- กฏหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
ได้มีการยกร่างกฏหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งหมด 6 ฉบับ คือ
1. กฏหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transactions Law)
2. กฏหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signatures Law)
3. กฏหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Law)
4. กฏหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Fund Transfer Law)
5. กฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Law)
6. กฏหมายลำดับรองของรัฐธรรมนูญ มาตรา 78 ว่าด้วยการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศอย่างทั่วถึง และเท่าเทียมกัน (Universal Access Law)
- มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
ได้จัดแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. มาตรการด้านเทคโนโลยี
2. มาตรการด้านกฏหมาย
3. มาตรการด้านความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน
4. มาตรการทางสังคม
ภัยร้ายบนอินเตอร์เน็ต
ภัยร้ายบนอินเตอร์เน็ตที่จัดอยู่ในแบบของการล่อล่วง โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประกอบด้วย (http:ictlaw.thaigov.net/ictlaws.html) เช่น
โปรแกรมรหัสลับ (Encryption Software)
โปรแกรมนี้จะล็อกแฟ้มข้อมูลหรือข้อความไว้ เพื่อให้เปิดได้เฉพาะในหมู่ผู้ใช้ที่มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชนิดเดียวกัน หรือมี “รหัสผ่าน” หรือ “Password” ที่ใช้เปิดแฟ้มนี้ อาจเป็นชุดตัวเลขที่ตั้งขึ้นมาแบบสุ่ม โปรแกรมชนิดนี้โดยทั่วไปนิยมใช้กันในเครื่องมืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
โปรแกรมแปลงภาพและแต่งภาพ
เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ก่อให้เกิดสื่อด้านลามกขึ้นมากมายเพราะมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับใช้ในการตกแต่งภาพและแปลงภาพในรูปแบบต่าง ๆ
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
คือ ไวรัสคอมพิวเตอร์ ซึ่งส่วนมากจะถูกเผยแพร่มาจากระบบเครื่อข่ายอินเตอร์เน็ตที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 10 อันดับ ได้แก่
1. การทำให้ระบบไม่สามารถให้บริการได้
2. การขโมยข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นความลับต่าง ๆ
3. การโจมตีระบบจากคนภายในองค์กร
4. การโจมตีระบบเครื่องข่ายไร้สาย
5. การฉ้อโกงเงิน โดยใช้คอมพิวเตอร์แอบโอนเงินจากบัญชีผู้อื่นเข้าบัยชีตนเอง
6. การถูกขโมยคอมพิวเตอร์ N0tebook
7. การเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต
8. การฉ้อโกงด้านโทรคมนาคม
9. การใช้เว็บแอพพลิเคชั่นด้านสาธารณะในทางที่ผิด โดยใช้คอมพิวเตอร์ แพร่ภาพ เสียง ลามก อนาจาร และข้อมูลไม่เหมาะสม
10.การเปลี่ยนโฉมเว็บไซต์ โดยไม่ได้รับอนุญาต
บัญญัติ 10 ประการ ด้านความปลอดภัยของอินเตอร์เน็ต
1. ตั้งรหัสผ่านที่ยากแก่การเดา
2. เปลี่ยนรหัสผ่านสม่ำเสมอ เช่น ทุก 3 เดือน
3. ปรับปรุงโปรแกรมป้องกันไวรัสตลอดเวลา
4. ให้ความรู้แก่บุคลากรในเรื่องความปลอดภัยในการรับไฟล์ หรือการดาวน์โหลดไฟล์จากอินเตอร์เน็ต
5. ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับเครื่อข่ายอย่างสมบูรณ์
6. ประเมินสถานการณ์ของความปลอดภัยในเครื่อข่ายอย่างสม่ำเสมอ
7. ลบรหัสผ่าน และบัญชีการใช้ของพนักงานที่ออกจากหน่วยงานทันที
8. วางระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับการเข้าถึงระบบของพนักงานจากภายนองหน่วยงาน
9. ปรับปรุงซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ
10. ไม่ใช้การบริการบางตัวบนเครื่อข่ายอินเทอร์เน็ตอย่างไม่จำเป็น
วิธีการประกอบอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
1. Data Diddling คือ การเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
2. Trojan Horse คือ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่แฝงไว้ในโปรแกรมที่มีประโยชน์
3. Salami Techniques คือ วิธีการปัดเศษจำนวนเงิน
4. Superzapping เปรียบเสมือนเป็นกุญแจผี
5. Trap Doors เป็นการเขียนโปรแกรมที่เลียนแบบคล้ายหน้าจอปกติของระบบคอมพิวเตอร์เพื่อล่วงผู้ที่มาใช้คอมพิวเตอร์
6. Logic Bombs เป็นการเขียนโปรแกรมคำสั่งอย่างมีเงื่อนไขไว้
7. Asynchronous Attack คือ สามรถทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน โดยการประมวลผลข้อมูลเหล่านั้นจะเสร็จไม่พร้อมกัน
8. Scavenging คือ วิธีการที่จะได้ข้อมูลที่ทิ้งไว้ในระบบคอมพิวเตอร์
9. Data Leakage คือ การทำให้ข้อมูลรั่วไหลออกไป อาจโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
10. Piggybacking วิธีการนี้สามรถทำได้ทั้งทางกายภาพ (Physical)
11. Impersonation คือ การที่คนร้ายแกล้งปลอมเป็นบุคคลอื่นที่มีอำนาจ หรือได้รับอนุญาต
12. Wiretapping เป็นการลักลอบดักฟังสัญญาณการสื่อสารโดยเจตนาที่จะได้รับประโยชน์
13. Simulation and Modeling เป็นเครื่องมือในการวางแผนการควบคุมและติดตามความเคลื่อนไหวในการประกอบอาชญากรรม
ประเภทของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
สามารถแบ่งประเภทของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ได้ 5 ประเภท คือ
1. พวกมือใหม่หรือมือสมัครเล่น อยากทดลองความรู้ และส่วนใหญ่จะมิใช่ผู้ที่เป็นอาชญากรโดยนิสัย มิได้ดำรงชีพโดยการกระทำผิด
2. นักเจาะข้อมูล (Hacker) ผู้ที่ชอบเจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. อาชญากรในรูปแบบเดิมที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ
4. อาชญากรมืออาชีพ คนพวกนี้จะดำรงชีพจากการกระทำความผิด
5. พวกหัวรุนแรงคลั่งอุดมการณ์หรือลัทธิ
แบบทดสอบท้ายบท บทที่ 10
1.กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศมีกี่แบบ
ก.4 ฉบับ
ข.5 ฉบับ
ค.6 ฉบับ
ง.7 ฉบับ
2.กฎหมายของรัฐธรรมนูญมีกี่มาตรา
ก.48 มาตรา
ข.78 มาตรา
ค.148 มาตรา
ง.178 มาตรา
3.มาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์มีกี่ประเภท
ก.4 ประเภท
ข.8 ประเภท
ค.12 ประเภท
ง.16 ประเภท
4.กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์คือ
ก.Electronic Transactions Law
ข.Electronic Signatures Law
ค.ถูกทั้ง ก และ ข
ง.ไม่มีข้อถูก
5.Encryption Software คือ
ก.โปรแกรมรหัสรับ
ข.โปรแกรมแปลงภาพ
ค.ภัยร้ายอินเทอร์เน็ต
ง.ถูกทุกข้อ
6.ความปลอดภัยของอินเทอร์เน็ตมีกี่ประการ
ก.5 ประการ
ข.10 ประการ
ค.15 ประการ
ง.20 ประการ
7.การเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต คือข้อใด
ก.Data Didding
ข.Trojan Horse
ค.ถูกทั้ง ก และ ข
ง.ไม่มีข้อถูก
8.การเขียนโปรแกรมคำสั่งอย่างมีเงื่อนไขคือข้อใด
ก.Logic bombs
ข. Logic bombis
ค. Logic bomb
ง. Logic boms
9.ข้อใดไม่ใช่อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
ก.Editor
ข.Hacker
ค.Cracker
ง.Phoneker
10.คำว่า Superzap เป็นโปรแกรมใด
ก.Maroro
ข.System tool
ค.Trap doors
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย
1.ค 2.ข 3.ก 4.ก 5.ก 6.ข 7.ก 8.ก 9.ง 10.ง
หน่วยที่ 9
บทที่ 9
การสนทนาออนไลน์
การสนทนาออนไลน์ หรือที่เรียกว่า Chat เป็นการสื่อสารในลักษณะของข้อความ ภาพ หรือเสียง ที่ทำให้คู่สนทนาสามารถโต้ตอบได้ทันที
รูปแบบการสนทนาออนไลน์ (Chat)
สามารถแบ่งตามวิธีสื่อสาร ดังนี้
การสนทนาออนไลน์ผ่านเซิร์ฟเวอร์กลาง
เป็นลักษณะการสนทนาแบบเป็นกลุ่ม โดยผู้สนทนาจะพิมพ์ข้อความที่ต้องการสื่อสารผ่านไปยังเซิร์ฟเวอร์ และเซิร์ฟเวอร์จะส่งข้อความเหล่านั้นออกมาแสดงบนหน้าจอของทุกคนที่กำลังติดต่อกับกับเซิร์ฟเวอร์อยู่ซึ่งเราเรียกว่า “ห้องสนทนา” (Chat Room)
วิธีการสนทนาออนไลน์ผ่านทางเซิร์ฟเวอร์กลาง จะมีเทคนิคเพื่อให้เลือกใช้บริการดังนี้
1. การสนทนาออนไลน์ผ่านโปรแกรม คือ ลักษณะการสนทนาด้วยข้อความในห้องสนทนาโดยใช้โปรแกรมของแต่ละเครื่องของผู้ใช้ มีเซิร์ฟเวอร์มากมาย เช่น PIRCH,mIRC และ Comic Chat
2. การสนทนาออนไลน์ผ่านเว็บ (Web Chat) คือ รูปแบบของการนำวิธีการทำงานบนเว็บเซิร์ฟเวอร์มาทำให้เกิดห้องสนทนา บนเว็บเพจของผู้ที่เข้าไปใช้บริการ โดยไม่ต้องมีโปรแกรมรันอยู่บนเครื่องของผู้สนทนา ปัจจุบันการสนทนาออนไลน์ผ่านเว็บได้นำเทคโนโลยี “จาวา” (Java) มาใช้เขียนโปรแกรม
ขั้นตอนการสนทนาแบบ Chat Room
1.พิมพ์ URL ที่ช่อง Address: htt://www.sanook.com
2.คลิกเลือกที่ คุยสด จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
Java Chat ซึ่งจะต้องติดตั้งโปรแกรม Java Applet ก่อน จึงจะสามารถสนทนารูปแบบนี้ได้
Classic Chat เป็นรูปแบบดั้งเดิของการสนทนาออนไลน์โดยผ่ามเซิร์ฟเวอร์ สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใดๆเพิ่มเติม
3.เมื่อเลือก Ciassic Chat จะมีรายชื่อของห้องสนทนาต่างๆภายในเซิร์ฟเวอร์แสดงออกมาให้ผู้ใช้ได้เลือกตามควมสนใจ เพื่อจะได้เข้าไปคุยกับเพื่อนๆภายในห้องสนทนาที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน
4.เมื่อเลือกห้องที่ต้องการสนทนาได้แล้ว จะปรากฎเว็บเพจในการแนะนำวิธีการ Log on เพื่อขอใช้บริการ พร้องทั้ให้พิมพ์ชื่อ และสีของข้อควมที่ต้องการใช้ระหว่างการสนทนจา เมื่อกำหนดเรียบร้อยแล้วให้คลิกที่ "เข้าห้อง"
5.เมื่อเข้าไปภายในห้องสนทนาแล้ว จะปรากฎชื่อของสมาชิกทั้งหมดภายในห้องสนทนานี้ และการสนทนาสามารถเลือกได้ว่าจะส่งข้อความถึงใคร หรือส่งถึงทุกคนภายในห้องก็ได้ แต่ขอความที่แสดงบนหน้าจอ ทุกคนที่อยู่ภายในห้องสนทนานั้นจะเห็นด้วยกันทั้งหมด
6.เมื่อเลิกผู้สนทนาที่เราต้องการส่งข้อความถึงแล้วนั้น เราก็ทำการพิมพ์ข้อความที่ต้องการจะส่งไป แล้วเลือกคลิกที่ Update ข้อความของเราจะไปปรากฎบนหฟน้าจดของทุกคนที่ใช้ห้องสนทนานี้
7.เมื่อต้องการออกจากหน้าสนทนา ให้คลิก Log off
8.เพียงการทำงานตามขั้นตอนนี้ เราก็สามารถไปห้องสนทนายังห้องต่างๆได้โดยไม่ต้องทำการลงทะเบียนสมัครป็นสมาชิของเว็บไซต์ที่ให้บริการเหล่านั้น และเมื่อทำการ Log off ออกจากห้องสนทนาห้องใดห้องหนึ่งแล้ว ก็สามารถที่จะเปลี่ยนไปสนทนายังห้องอื่นๆต่อไปได้อีก
การสนทนาออนไลน์โดยตรงระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ต
การสนทนาออนไลน์รูปแบบนี้จะไม่ต้องผ่านเซิร์ฟเวอร์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การรับส่งสารแบบทันทีทันใด” หรือ Instant Messaging เช่นโปรแกรม ICQ,MSN Messenger, Yahoo Messenger, Windows Messenger เป็นต้น จะเป็นรูแบบของการสนทนาแบบตัวต่อตัว มิใช่ลักษณะการสนทนาในแบบห้องสนทนา
ขั้นตอนการสนทนาแบบ Instent Messaging
2.เมื่อปรากฎหน้าจอของ yahoo! Messenger เรียบรัอยแล้ว จะประกอบด้วย 2 กรณี คือ
กรณีที่ 1 เป็นสมาชิก E-mail ที่ yahoo.com ให้คลิกเลือกที่ Sign In
จะปรากฎบนหน้าจอของการ Login เข้าไปยัง yahoo.com โดยจะใช้ Yahoo! ID และPassword เช่นเดียวกับการ Login เข้าไปยังการใช้งาน E-mail ของ yahoo.com
กรณีที่2 ยังไม่ได้เป็นสมาชิก E-mail ที่ yahoo.com ให้คลิกเลือกที่ Sign Up ใช้ E-mail ใน yahoo.com
3.คลิกที่ Features เพื่อดูรายลถะเอียดของโปรแกรมและจะสามารถดาวน์โหลดโปรแกรม messnger ของ yahoo.com
4.เมื่อคลิกเลือก Download แล้ว จะมีหน้าต่าง File Download ให้เลือก Open โปรแกรมจะทำการดาวน์โหลด
5.เมื่อดาวน์ดหลดเรียบร้อย จะปรากฎหน้าต่าง yahoo ! Messenger Installation เพื่อทำการติดตั้งโปรแกรม yahoo! Messenger ให้คลิกที่ Next เพื่อเริ่มต้นการติดคั้งโปรแกรม และทำตามขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรมไปจนกว่าจะเสร็จเรียบร้อยทุกขั้นตอน
6.เมื่อติดตั้งโปรแกรมที่ใช้งานการสนนาเรียบร้อยแล้วจะปรากฎหน้าต่าง Sing In
7.เมื่อ Sing In โดยกำหนด yahoo! ID และ Password ถูกต้องแล้วจะทำการติดต่อไปยัง yahoo ! ID ของผู้ใช้บริการด้วย เช่น Connec ting to yahoo! as s_kulrapee
8.จะทำการเพิ่มชื่อใน Messenger List ฆโดยคลิกที่ Add ปรากฎหน้าต่าง Add to Messenger List ให้กรอบข้อมูลตามที่กำหนดให้
9.ให้ทำการเลือกห้องสนทนาที่ต้องการจะเข้าไปกับบุคคลต่างๆ ที่อยู่ภายในห้องนั้นโดยจัดการตามกลุ่มที่มีความสนใจในเรื่องต่างๆ
10.ถ้าต้องการที่จะคุยกับคนใด ก็สามารถจะคลิกเลือกตามรายชื่อที่ปรากฏภายในห้องนั้น หรือถ้ามีคนใดต้องจะคุยกับเรา ก็สามารถจะคลิกมาที่ชื่อเราได้
เว็บไซต์ที่ให้บริการสนทนาออนไลน์
แบบทดสอบท้ายบท บทที่ 9
1.รูปแบบการสนทนาออนไลน์หมายถึงข้อใด
ก.Room
ข.Chat
ค.Internet
ง.Replay
2.Chat Room หมายถึงข้อใด
ก.ห้องการ์ตูน
ข.ห้องสนทนา
ค.ห้องคุยสนุก
ง.ห้องนั่งเล่น
3.รูปแบบของการนำวิธีการทำงานบนเว็บมาทำเป็นห้องสนทนาคือ
ก.Web Room
ข.Web Chat
ค.Wab Chat
ง.Wab Room
4.การสนทนาออนไลน์โดยตรงระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคือ
ก.Janhoo messaging
ข.Mail messaging
ค.Instant messaging
ง.Instant messaging
5.กรณียังไม่มี E-Mail ควรทำข้อใดก่อนในหน้า Yahoo.com
ก.Sigh in
ข.Login
ค.Sigh Up
ง.Logout
6.เว็บใดให้บริการสนทนาออนไลน์
ก.Yahoo.com
ข.icq.com
ค.Hotmail.com
ง.ถูกทุกข้อ
7.เมื่อต้องการออกจากหน้าสนทนาต้องทำการใดก่อน
ก.Sigh in
ข.Log off
ค.Sigh up
ง.Log out
8.เมื่อต้องการเปลี่ยนห้องสนทนาไปห้องอื่นต้องทำการใดก่อน
ก.Log off
ข.Log out
ค.Log of
ง.Log in
9.Instant messaging สามารถใช้โปรแกรมอะไรได้บ้าง
ก.Icq
ข.Msn
ค.Yahoo
ง.ถูกทุกข้อ
10.Sigh in ใช้ในการใด
ก.ลงชื่อออก
ข.ลงชื่อเข้าใช้
ค.เข้าสนทนากับเพื่อน
ง.เข้าหน้าต่าง
ก.Room
ข.Chat
ค.Internet
ง.Replay
2.Chat Room หมายถึงข้อใด
ก.ห้องการ์ตูน
ข.ห้องสนทนา
ค.ห้องคุยสนุก
ง.ห้องนั่งเล่น
3.รูปแบบของการนำวิธีการทำงานบนเว็บมาทำเป็นห้องสนทนาคือ
ก.Web Room
ข.Web Chat
ค.Wab Chat
ง.Wab Room
4.การสนทนาออนไลน์โดยตรงระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคือ
ก.Janhoo messaging
ข.Mail messaging
ค.Instant messaging
ง.Instant messaging
5.กรณียังไม่มี E-Mail ควรทำข้อใดก่อนในหน้า Yahoo.com
ก.Sigh in
ข.Login
ค.Sigh Up
ง.Logout
6.เว็บใดให้บริการสนทนาออนไลน์
ก.Yahoo.com
ข.icq.com
ค.Hotmail.com
ง.ถูกทุกข้อ
7.เมื่อต้องการออกจากหน้าสนทนาต้องทำการใดก่อน
ก.Sigh in
ข.Log off
ค.Sigh up
ง.Log out
8.เมื่อต้องการเปลี่ยนห้องสนทนาไปห้องอื่นต้องทำการใดก่อน
ก.Log off
ข.Log out
ค.Log of
ง.Log in
9.Instant messaging สามารถใช้โปรแกรมอะไรได้บ้าง
ก.Icq
ข.Msn
ค.Yahoo
ง.ถูกทุกข้อ
10.Sigh in ใช้ในการใด
ก.ลงชื่อออก
ข.ลงชื่อเข้าใช้
ค.เข้าสนทนากับเพื่อน
ง.เข้าหน้าต่าง
เฉลย
1.ข 2.ข 3.ข 4.ค 5.ค 6.ง 7.ข 8.ก 9.ง 10.ข
หน่วยที่ 8
บทที่ 8
การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
ในปัจจุบันโลกของอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลให้เราได้ค้นหาอย่างมากมาย ซึ่งจะมีเว็บไซต์ที่บรรจุข้อมูลไว้เพื่อให้เราเข้าไปค้นหา แต่ถ้าเราต้องการพิมพ์ชื่อเว็บไซต์เหล่านั้นเพื่อเข้าไปค้นหาข้อมูลก็ทำให้เราต้องรู้ให้เราต้องรู้จัก URL ของเว็บไซต์ต่างๆ เหล่านั้น ทำให้ผู้ใช้ไม่สะดวกในการใช้งาน จึงได้มีผู้สร้างโปรแกรมขึ้นโดยรวบรวมเว็บไซต์ต่าง ๆ ไว้ โดยจัดไว้เป็นหมวดหมู่ของข้อมูลเหมือนกับห้องสมุดที่มีหนังสือมากมายก็จำเป็นที่จะต้องตั้งหมวดหมู่หนังสือเพื่อจะได้จัดหนังสือให้เป็นระเบียบตามหมวดหมู่ ผู้ที่เข้ามาใช้งานก็สามารถหาหนังสือตามหมวดหมู่ที่ตนเองต้องการได้ทันที ซึ่งภายในหมวดหมู่นั้นก็จะมีหนังสือหลาย ๆ เล่มให้เราเลือกเช่นเดียวกับการจัดหมวดหมู่ของเว็บไซต์ที่ได้รวบรวมไว้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาได้ง่ายขึ้น โดยเลือกค้นหาตามหมวดหมู่ หรือ หัวข้อเรื่องที่ตนเองสนใจได้โดยไม่ต้องรู้จัก URL ของเว็บไซต์นั้น เพียงแต่เรากรอกคำหรือหัวเรื่องที่เราต้องการค้นหา เว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องในเรื่องเดียวกันก็จะแดสงออกมาวิธีนี้เป็นลักษณะของการใช้เครื่องมือช่วยในการค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า “เครื่องจักรค้นหา” (Search Engines)
เครื่องจักรค้น (Search Engines) คือ เครื่องมือ หรือเว็บไซต์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในการค้นหาข้อมูลและข่าวสารในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ประเภทของการค้นหาข้อมูล
การค้นหาข้อมูลอินเทอร์เน็ต สามารถแบ่งตามลักษณะการทำงานได้ 3 ประเภท คือ
Search Engine การค้นหาข้อมูลด้วยคำที่เจาะจง
Search Engine เป็นเว็บไซต์ที่ช่วยในการค้นหาข้อมูลโดยใช้โปรแกรมช่วยในการค้นหาที่เรียกว่า “Robot” ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ตมาเก็บไว้ในฐานข้อมูลซึ่งการค้นหาข้อมูลรูปแบบนี้จะช่วยให้สามารถค้นหาข้อมูลได้ตรงกับความต้องการ เพราะได้ระบุคำที่เจาะจงลงไป เพื่อให้ Robot เป็นตัวช่วยในการค้นหาข้อมูล ซึ่งเป็นรูปแบบที่เป็นที่นิยมมาก เช่น www.google.co.th
Search Directories การค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่
การค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่โดยมีเว็บไซต์ที่เป็นตัวกลางในการรวบรวมข้อมูลในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดขจัดข้อมูลเป็นหมวดหมู่เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกข้อมูลตามที่ต้องการได้โดยการจัดหมวดหมู่ของข้อมูลจะจัดตามข้อมูลที่คล้ายกัน หรือเป็นประเภทเดียวกัน นำมารวบรวมไว้ในกลุ่มเดียวกน
ลักษณะการค้นหาข้อมูลแบบ Search Directories จะทำให้ผู้ใช้สะดวกในการเลือกข้อมูลที่ต้องการค้นหา และทำให้ได้ข้อมูลตรงกับความต้องการ
การค้นหาวิธีนี้มีข้อดีคือ สามารถเลือกจากชื่อไดเร็กทอรีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการค้นหาและสามารถเลือกที่จะเข้าไปดูว่ามีเว็บไซต์ใดบ้างได้ทันที เช่น www.sanook.com
Metasearch การค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูล
เป็นลักษณะของการค้นหาข้อมูลจากหลาย ๆ Search Engine ในเวลาเดียวกัน เพราะเว็บไซต์ที่เป็น Metasearch จะไม่มีฐานข้อมูลของตนเอง แต่จะค้นหาเว็บเพจที่ต้องการโดยวิธีการดึงจากฐานข้อมูลของ Search Site จากหลาย ๆ แห่งมาใช้ แล้วจะแสดงผลให้เลือกตามต้องการ เช่น www.thaifind.com
การค้นหาโดยใช้ Search Engine
การใช้วิธีการค้นหาข้อมูลบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สามารถแบ่งรูปแบบในการค้นหาออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. การระบุคำเพื่อใช้ในการค้นหา หรือที่เรียกว่า “คีย์เวิร์ด” (Keyword)
2. การค้นหาจากหมวดหมู่ หรือไดเรกทอรี (Directories)
การระบุคำเพื่อใช้ในการค้นหา
วิธีการค้นหาข้อมูลในลักษณะนี้ก็คือ การระบุคำที่ต้องการค้นหา หรือที่เรียกว่า “คีย์เวิร์ด” (Keyword) โดยในเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลจะมีช่องเพื่อให้กรอกคำที่ต้องการค้นหาลงไป แล้วจำคำดังกล่าวไปค้นหาจากข้อมูลที่ได้จัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลของระบบ
วิธีการค้นหาข้อมูลแบบระบุคำที่ต้องการค้นหา หรือคีย์เวิร์ด
โดยจะเลือกเว็บไซต์ที่ให้บริการในการค้นหาข้อมูลที่เรามักจะเรียกว่า “เว็บไซต์สำหรับ Search Engines” ซึ่งมีเว็บไซต์ต่าง ๆ หลายเว็บไซต์ที่ให้บริการด้านนี้ เช่น www.google.co.th การใช้คีย์เวิร์ดในการค้นหาข้อมูล เราจะต้องพยายามระบุคำให้ชัดเจนเพื่อจะสามารถให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ หรือให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราต้องการให้มากที่สุด
วิธีการปฏิบัติในการค้นหาข้อมูลแบบคีย์เวิร์ด สามารถทำได้ดังต่อไปนี้ คือ
1. พิมพ์ชื่อเว็บไซต์ที่เป็น Search Engine ในช่อง Address เช่น www.google.co.th
2. กรอกคำที่ต้องการค้นหาในช่องที่เว็บไซต์ได้กำหนดไว้
3.เว็บไซต์จะค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีคำที่เหมือนกับคำที่เราได้กรอกไว้ในช่องที่ต้องการค้นหาข้อมูล
4. คลิกเลือกเว็บไซต์ที่ต้องการ เข้าไปค้นหารายละเอียดของข้อมูลต่อไป ดังตัวอย่าง เมื่อคลิกเลือกการศึกษา Education แล้วจะแสดงเว็บไซต์ของหัวข้อมเรื่องดังกล่าวออกมา
การค้นหาจากหมวดหมู่ หรือไดเร็กทอรี (Directories)
การให้บริการค้นหาข้อมูลด้วยวิธีนี้เปรียบเสมือนเราเปิดเข้าไปในห้องสมุด ซึ่งได้จัดหมวดหมู่ของหนังสือไว้แล้ว และเราก็ได้เดินไปยังหมวดหมู่ของหนังสือที่ต้องการ ซึ่งภายในหมวดใหญ่นั้น ๆ ยังประกอบด้วยหมวดหมู่ย่อย ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือแบ่งประเภทของข้อมูลให้ชัดเจน เราก็จะสามารถเข้าไปหยิบหนังสือเล่มที่ต้องการได้ แล้วก้เปิดเข้าไปอ่านนเนื้อหาข้างในของหนังสือเล่มนั้น ๆ วิธีนี้จะช่วยให้ค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น มีเว็บไซต์มากมายที่ให้บริการการค้นหาข้อมูลในรูปแบบนี้
วิธีปฏิบัติในการค้นหาข้อมูลแบบไดเร็กทอรี่ สามารถทำได้ดับต่อไปนี้ คือ
1. พิมพ์ชื่อเว็บไซต์ที่เป็น Search Engine ในช่อง Address เช่น www.sanook.com
2. เลือกหัวข้อเรื่องที่ต้องการค้นหาข้อมูล เช่น การศึกษา จะแบ่งเป็นหัวข้อย่อย ดังนี้ โรงเรียน,สถาบันอุดมศึกษา,สถาบันกวดวิชาและสอนพิเศษ,แนะแนวการศึกษา
3. เมื่อคลิกที่หัวข้อเรื่องย่อยที่ต้องการ เช่น สถาบันอุดมศึกษา
4. จะปรากฏหัวข้อเรื่องย่อยของสถาบันอุดมศึกษา
ทำให้สามารถเลือกข้อมูลได้ตรงกับความต้องการได้มากที่สุดโดยทำให้ไม่เสียเวลาในการเลือกข้อมูล เพราะได้จัดข้อมูลแบ่งเป็นกลุ่มข้อมูลย่อย ๆ
5. นอกจากแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยของข้อมูลแล้วก็ยังมีการเชื่อมโยงข้อมูลไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ได้เลือกค้นหาข้อมูลอีกมากมาย
เทคนิคในการค้นคว้าข้อมูล
1. การใช้ภาษา การค้นหาข้อมูลแบบคีย์เวิร์ด สามารถค้นหาได้ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ซึ่งรูปแบบของภาษาไทยนั้นจะเป็นการเขียนประโยคที่ต่อเนื่อง เช่น ขนมไทย ศิลปวัฒนธรรมไทย สมุนไพรไทย เป็นต้น แต่การค้นหาด้วยคำภาษาอังกฤษ จะแตกต่างจากภาษาไทย คือภาษาอังกฤษจะเป็นการแบ่งวรรคของคำ เช่น Thai food ซึ่งถ้าพิมพ์คำนี้แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือ จะแสดงเว็บไซต์ที่มีคำว่า Thai หรือ Food หรือ Thai food ออกมาให้ทั้งหมดทำให้ได้รับข้อมูลมากมายเกินความต้องการ แต่ถ้าต้องการให้คำว่า Thai food เป็นข้อความเดียวกัน ต้องพิมพ์คำดังกล่าวไว้ในเครื่องหมายคำพูด (“ “) เช่น “Thai food” ซึ่งแปลว่าอาหารไทย เมื่อให้เว็บไซต์ค้นหาข้อมูลให้ก็จะแดสงเฉพาะเว็บไซต์ที่มีคำว่า “Thai food” เท่านั้น ซึ่งจะทำให้ข้อมูลที่ต้องการแคบลง ช่วยให้เราสามารถหาผลลัพธ์ที่ต้องการได้เร็วขึ้น
2. ควรบีบประเด็นให้แคบลง หรือใช้คำให้ชัดเจน ตรงประเด็นที่ต้องการผลลัพธ์ให้มากที่สุด เพราะข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีอยู่มากมาย ถ้าเราสามารถระบุคำที่ชัดเจนและตรงประเด็นแล้ว จะเป็นหารกรองข้อมูลให้กับเราได้ ทำให้เราได้รับข้อมูลที่ตรงกับความต้องการชัดเจน และสามารถหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เช่น ถ้าต้องการค้นข้อมูลของอาหารไทยเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ควรที่จะกำหนดข้อความในการค้นหา คือ “Thai food in Thailand” จะเป็นการกรองข้อมูลให้เราได้ประเด็นที่แคบลง
3. การใช้คำที่มีความหมายเหมือนกันคำในภาษาอังกฤษมีหลาย ๆ คำที่มีความหมายเหมือนกัน เช่น world และ earth แปลว่า “โลก” ถ้าต้องการหาคำว่า world แล้วผลลัพธ์ที่ได้ไม่สามารถหาข้อมูลของคำนี้ได้ เราควรลองเปลี่ยนเป็นคำอื่นที่มีความหมายเหมือนกัน
4. การใช้โอเปอเรเตอร์ หรือบูลีน เมื่อต้องการเจาะจงในการค้นหาข้อมูล ก็สามารถที่จะนำโอเปอเรเตอร์ หรือบูลีน มาเป็นเครื่องมือช่วยในการค้นหาข้อมูลได้ เพื่อให้สามารถหาข้อมูลได้รวดเร็วและตรงกับความต้องการมากที่สุด โอเปอเรเตอร์ที่ใช้ คือ AND, OR, AND NOT และเครื่องหมาย +,-
AND “และ” เช่น computer and design ผลลัพธ์ที่ได้จะได้ข้อมูลที่ต้องมีทั้งคำว่า “computer” และ “design” อยู่ด้วยกันเท่านั้น จึงจะดึงข้อมูลนั้นมาแสดง
OR “หรือ” การใช้คำว่า OR ถ้ามีคำใดคำหนึ่งเพียงคำเดียวก็จะดึงข้อมูลนั้นมาแสดงให้ เช่น computer or design คือ จะมีแต่คำว่า “computer” หรือมีแต่คำว่า “design” หรือมีทั้งคำว่า “computer” และ “design” ก็จะดึงข้อมูลนั้นมาแสดง การใช้คำว่า OR ช่วนในการค้นหาข้อมูลนั้นทำให้ข้อมูลที่ได้รับมีของเขตกว้างมาก
AND NOT หรือ NOT เช่น computer and not design หมายความว่า “ให้ค้นหา ข้อมูลที่มีคำว่า computer แต่ต้องไม่มีคำว่า design มาด้วย” ฉะนั้นผลลัพธ์ที่ได้เมื่อใช้ข้อความนี้ในการค้นหาข้อมูลก็จะแดสงข้อมูลเฉพาะที่มีแต่คำว่าคอมพิวเตอร์เท่านั้น ถ้าข้อมูลใดมีคำว่า “design” อยู่ด้วยจะไม่ดึงเอาข้อมูลนั้นมาแสดง
เครื่องหมาย + หมายความว่า คำใดที่ตามหลังเครื่องหมายนี้จะต้องมีคำนั้นอยู่ในเว็บเพจนั้น เหมือนกับคำว่า NOT
เช่น + computer - design ข้อมูลที่จะแสดงออกมาจะต้องมีคำว่า computer แต่ไม่มีคำว่า design
รวมเว็บไซต์ที่ช่วยในการค้นหาข้อมูล
แบบทดสอบท้ายบท บทที่ 8
1.คำว่าเครื่องจักรค้นหาคือข้อใด
ก.SEARCH ENGINES
ข.ROBOT
ค.SEARCH DIRECTORIES
ง.SANOOK
2.การค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่ คือ
ก. SEARCH ENGINES
ข. SEARCH DIRECTORIES
ค.METASEARCH
ง.KEY SEARCH
3.การค้นหาข้อมูลแบ่งได้กี่ประเภท
ก.2ประเภท
ข.3ประเภท
ค.4ประเภท
ง.5ประเภท
4.การค้นหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลคือข้อใด
ก. SEARCH ENGINES
ข. SEARCH DIRECTORIES
ค.METASEARCH
ง.KEY SEARCH
5.การใช้งาน SEARCH ENGINES มีจุดประสงค์ใด
ก.หาข้อมูล
ข.สร้างเว็บไซต์
ค.นำเสนอข้อมูล
ง.ค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
6.การระบุคำเพื่อใช้ในการค้นหาข้อมูลหมายถึง
ก.KEYWORD
ข.SEARCH
ค.METASEARCH
ง.SEARCH ENGINES
7.ข้อใดคือการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
ก. SEARCH ENGINES
ข. SEARCH DIRECTORIES
ค. METASEARCH
ง.ถูกทุกข้อ
8.เครื่องหมาย – คือข้อใด
ก. ค้นคว้าข้อมูล
ข.หาข้อมูล
ค.ลบข้อมูล
ง.เครื่องหมายนี้จะต้องไม่มีอยู่ในเว็บเพจนี้
9.เครื่องหมาย + คือข้อใด
ก.เครื่องหมายไม่มีอยู่ในเว็บ
ข.เพิ่มข้อมูล
ค.จะต้องมีคำนั้นในเว็บเพจ
ง.ผิดทุกข้อ
10.ถ้าต้องการจะพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ที่จะ Search ได้ในที่ใด
ก.ADDRESS
ข.DIRECTORIES
ค.URL
ง.ถูกทั้ง ก และ ค
เฉลย
1.ก 2.ข 3.ข 4.ค 5.ง 6.ก 7.ก 8.ง 9.ค 10.ง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)